Powered By Blogger

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

กิจกรรมที่ 13 การประมวลหลักการและทฤษฎีเทคโนโลยีการศึกษาด้วยการผลิตสื่อ

กิจกรรมที่ 13 การประมวลหลักการและหลักทฤษฎีเทคโนโลยีการศึกษาด้วยการผลิตสื่อ


ชมละครทีวีวันที่ จันทร์ ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

วันนี้ได้ทำกิจกรรมเรื่อง การชมละครทีวี สะท้อนจิตใจ เรื่อง คำน้อย แม่มหัศจรรย์ที่โลกไม่มีวันลืม



เรามาดูตัวอย่างของละครเรื่องงนี้กันนะครับ


http://www.youtube.com/watch?v=5_6VjmemGpc&feature=related






ความรู้สึกในการชมละครในแบบของการสะท้อนจิตใจ และ จริยธรรม ในสังคม

มีความประทับใจในละครในแต่ละเรื่องที่ดู ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ คำน้อย หรือ ทองล้นหลัง ล้วนทั้งให้แง่คิด


ที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง และสังคม แง่คิดที่ได้จากการชมละครทั้งสองเรื่อง มีมากมาย และเหมาะแก่การนำไป

ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน และการะพัฒนาตนเอง

ความรู้ที่ได้รับในห้องเรียน(ในการชมละครเรื่อง คำน้อย แม่มหัศจรรย์ที่โลกไม่มีวันลืม)


  1. ได้แง่คิดในเรื่องของความอดทน ความซื่อสัตย์ และความกตัญญู
  2. การทำตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ
  3. มีจิตใจที่มั่นคง และต่อสุ้กับอุปสรรคต่างๆ
  4. มีความรักและเทิดทูนผู้มีพระคุณ
  5. สามารถที่จะสร้างความดีต่อไปโดยที่ไม่อายใคร

    Link : Google Buu. Facebook Hi5

วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กิจกรรมที่ 12 การนำเสนองาน


กิจกรรมที่ 12 การนำเสนองาน




เรียนวันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

นี่คือผลงานที่ กลุ่มของผมได้ใช้โปรแกรมทำแผนความคิดในการ สรุปและนำเสนอหน้าชั้นเรียน



เรามาดูภาพกิจกรรมในห้องเรียนกันนะครับ





นี่คือภาพกิจกรรมวนวันที่ 30 สิงหาคมที่ เพื่อนแต่ละกลุ่มนำเสนอผลงาน สรุปเป้นแผนความคิด

ออกมาในเรื่องของหลักและทฤษฎีเทคโนโลยีการศึกษา ซึ่งเพื่อนๆๆ ในแต่ละกลุ่มทำออกมาได้ดี

เลยทีเดียว


ความรู้ที่ได้รับ

1. ได้เห็นภาพการแสดงกิจกรรมการนำเสนอผลงานในแต่ละกลุ่ม ทำให้เห็นความแตกต่าง ระหว่างกลุ่ม

2. ได้เรียนรุ้เกี่ยวกับโปรแกรมทำแผนความคิดมากขึ้น

3. สามารถที่จะนำโปรแกรมทำแผนความคิดไปประยุกต์ใช้ในวิชาอื่นๆที่เกี่ยวข้องได้



Link : Google Hi5 Buu Facebook

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กิจกรรมที่ 11 แนวโน้มของเทคโนโลยีการศึกษาในยุคสังคมแห่งการเรียนรู้

กิจกรรมที่ 11 แนวโน้มของเทคโนโลยีการศึกษาในยุคสังคมแห่งการเรียนรู้






(เรียน วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553) ที่สำนักงานคอมพิวเตอร์มหาวิทยาลัยบูรพา



วิธี การดำเนินการสอนในห้องเรียน

-มีการบรรยายจากวิทยากรในช่วงแรกในเรื่องของการสื่อสารทางไกล


-มีการถาม ตอบกันแลกเปลี่ยนความรู้


-มีวิทยากรคนที่ 2 ซึ่งรับผิดชอบในงานของระบบ E - Learning


-มีการถามตอบ และแลกเปลี่ยนความรู้


-มีการเข้าชมห้องจัดการวิทยุออนไลน์


-มีการทำแบบฝึกหัด ท้ายชั่วโมง





เนื้อหาในบทเรียน



แนวโน้มของเทคโนโลยีการศึกษา

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยน แปลงในการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ของ

มนุษย์เป็นอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากศักยภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศใน การ

ขจัดข้อจำกัดของกาลเวลา และระยะทาง ส่งผลให้การแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลเกิดได้ในทุกเวลา และทุก

สถานที่ ซึ่งจากวิวัฒนาการนี้เองได้ก่อให้เกิดรูปแบบการจัดการศึกษาแบบใหม่ที่มีการ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสื่อ

อิเล็กทรอนิกส์ เป็นเครือข่ายสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา



สถานภาพการใช้เทคโนโลยีการศึกษาในปัจจุบัน



1. การเรียนการสอนในระบบ
การสอนในระบบ (Formal education) หมายถึง การที่เทคโนโลยีการศึกษามีส่วนสนับสนุนการเรียนการ

สอนในระบบ ในชั้นเรียนที่มีหลักสูตรเฉพาะ มีกรอบการเรียนที่ชัดเจนนักเรียน นักศึกษาต้องเข้าเรียนตามเวลาที่

กำหนดอย่างสม่ำเสมอ โดยครูจะนำเทคโนโลยีการศึกษาที่เหมาะสมเข้ามาช่วยสนับสนุนการเรียนการสอนใน

ชั้นเรียน ทำให้การเรียนการสอนในระบบเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น

2. สภาพการเรียนการสอนนอกระบบ
การ สอนนอกระบบ (informal education) หมายถึง การที่เทคโนโลยีการศึกษามีส่วนช่วยสนับสนุน

การเรียนการสอนนอกระบบ คือการเรียนการสอนที่มีหลักสูตรเฉพาะกลุ่ม หรือหลักสูตรที่มีกรอบการเรียนค่อน

ข้างกว้างขวาง โดยไม่กำหนดระยะเวลาที่แน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถและโอกาสของผู้เรียนที่จะอำนวย

การเรียนการสอนประเภทนี้ ผู้สร้างหลักสูตรจำเป็นต้องคัดเลือกเทคโนโลยีการศึกษาที่เหมาะสมมาช่วยสนับ

สนุนการจัดการเรียนการสอนอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นสื่ออุปกรณ์ ซึ่งได้แก่ดาวเทียม โทรทัศน์เพื่อการศึกษา

วิทยุเพื่อการศึกษา สื่อวัสดุ ได้แก่ สื่อสิ่งพิมพ์ หรือแม้กระทั่งกิจกรรมต่าง ๆ ที่ครู หรือ ผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษา

นอกระบบ จะกำหนดขึ้น

3. สภาพการเรียนการสอนตามอัธยาศัย
การสอนตามอัธยาศัย (Nonformula education) หมายถึง การที่เทคโนโลยีการศึกษามีส่วนช่วยสนับ

สนุนการเรียนการสอนตามอัธยาศัย เป็นการจัดการศึกษาสำหรับบุคคลกลุ่มต่าง ๆ ที่มีความจำกัดบางอย่าง แต่

บางครั้งมีความต้องการได้รับความรู้ เป็นหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องต้องพยายามจัดโอกาสให้กับบุคคลเหล่านี้ โดย

ใช้เทคโนโลยีการศึกษาเข้ามาช่วยสนับสนุนให้การจัดการศึกษาตามอัธยาศัยมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น.

สภาพการเรียนการในอนาคต

1. ให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนนอกระบบมากขึ้น

จากพระราช บัญญัติการศึกษา ปี พ.ศ. 2542 ที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า กฎหมายให้ความสำคัญแก่

การจัดการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเน้นการศึกษารายบุคคล

มวลชน และผู้ด้อยโอกาสทั้งหลาย พระราชบัญญัติการศึกษาจะเป็นผู้ชี้อนาคตในการจัดการศึกษา ซึ่งแน่นอน

การนำเทคโนโลยีการศึกษาย่อมเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ ได้ น่าจะกล่าวได้ว่าเทคโนโลยีการศึกษา

ในอนาคตจะผูกติดกับพระราชบัญญัติการคึกษา และนับวันจะมีบทบาทยิ่งขึ้น ดังจะพบว่าพระราชบัญญัติการ

ศึกษาให้ความสำคัญแก่เทคโนโลยีการศึกษา โดยกำหนดไว้ในหมวดที่ 9 ว่าด้วยเทคโนโลยีเพื่อการ ศึกษาระบุ

ไว้ 7 มาตรา


2. เน้นเรื่องการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย

แม้ว่าการสอน โดยอาศัยการออกอากาศทางวิทยุหรือโทรทัศน์จะเคยเป็น และยังคงเป็นแรงสนับสนุน

สำคัญในการจัดการศึกษา แต่ก็มีแนวโน้มว่าเราจะนำระบบวงจรปิดเข้ามาใช้ในการเรียนการสอนมากขึ้น ระบบ

วงจรปิด เช่น ไมโครเวฟ โทรทัศน์วงจรปิด และการใช้ดาวเทียมมีข้อได้เปรียบระบบวงจรเปิดที่สามารถถ่ายทอด

ทเรียนเป็น จำนวนมากได้พร้อม ๆ กัน นอกจากนี้ยังได้เปรียบตรงที่ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องสถานที่ตัวอย่างเช่น

การส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมจะทำให้เราสามารถส่งสัญญาณไปได้ทุกจุดบนพื้นโลกและ เมื่อไปถึงจุดใดจุด

หนึ่งแล้วก็สามารถส่งต่อไปตามสายเคเบิลหรือใช้ระบบ ไมโครเวฟไปยังห้องเรียนสถานที่อื่นๆ ในโรงเรียนหรือที่

บ้าน หรือห้อง ประชุมในโรงแรม เป็นต้น นอกจากนี้การรับสัญญาณโทรทัศน์จากดาวเทียมโดยตรงของทาง

โรงเรียน วงการธุรกิจอุตสาหกรรม โรงพยาบาล และสภาพการเรียนการสอนอื่น ๆ ได้กลายเป็นความจริงขึ้นมา

ได้ก็ด้วยเหตุที่เรามีเครื่องรับที่ดีและเหมาะสม จึงทำให้เราสามารถขจัดปัญหาเดิมที่ต้องส่งโดยใช้สายเคเบิล

สัญญาณดาวเทียมสามารถส่งผ่านทางสายโทรศัพท์ซึ่งประกอบด้วยแผ่นไฟเบอร์ที่ สามารถส่งสัญญาณของ

หลายรายการได้ในเวลาเดียว

ตัวอย่างการนำเอาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมาใช้ ในการจัดการเรียนการสอน

E-Learning

คำว่า e-Learning คือ การเรียน การสอนในลักษณะ หรือรูปแบบใดก็ได้ ซึ่งการถ่ายทอดเนื้อหานั้น กระทำ

ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น ซีดีรอม เครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซทราเน็ต หรือ ทางสัญญาณ

โทรทัศน์ หรือ สัญญาณดาวเทียม (Satellite) ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งการเรียนลักษณะนี้ได้มีการนำเข้าสู่ตลาดเมือง

ไทยในระยะหนึ่งแล้ว เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วยซีดีรอม, การเรียนการสอนบนเว็บ (Web-Based

Learning), การเรียนออนไลน์ (On-line Learning) การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม หรือ การเรียนด้วยวีดีโอ

ผ่านออนไลน์ เป็นต้น

M-Learning

m-Learning (mobile learning) คือ การจัดการเรียนการสอนหรือบทเรียนสำเร็จรูป (Instruction

Package) ที่นำเสนอเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนการสอนผ่านเทคโนโลยีไร้สาย (wireless

telecommunication network) และเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ผู้เรียนสามารถเรียนได้ทุกที่และทุกเวลา โดยไม่

ต้องเชื่อมต่อโดยใช้สายสัญญาณ ผู้เรียนและผู้สอนใช้เครื่องมือสำคัญ คือ อุปกรณ์ประเภทเคลื่อนที่ได้โดย

สะดวกและสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยไม่ต้องใช้สายสัญญาณแบบเวลาจริง ได้แก่ Notebook

Computer, Portable computer, Tablet PC, Cell Phones ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน

ทั้งนี้ยังมีสื่ิอการ เรียนการสอนอื่นอีกด้วย เช่น U-Learning Hybrid-Learning Adaptive-Learning Ubiquitius-

Learning


Video conference หรือการประชุมทางไกล

ถูกออกแบบมาเพื่อให้คนหรือกลุ่ม คน ซึ่งอยู่กันคนละสถานที่ สามารถติดต่อ กันได้ทั้งภาพและเสียง

โดย ผ่านทางจอภาพซึ่งอาจเป็นคอมพิวเตอร์หรือโทรทัศน์ ผู้ชมที่ฝั่งหนึ่งจะเห็นภาพของอีกฝั่งหนึ่งปรากฏอยู่บน

จอโทรทัศน์ของ ตัวเองและ ภาพของตัวเองก็จะไปปรากฏยังโทรทัศน์ของฝั่งตรงข้ามเช่นเดียวกัน คุณภาพของ

ภาพและเสียงที่ได้จะขึ้นอยู่กับความเร็วของช่องทางสื่อสารที่ใช้ เชื่อมต่อระหว่างทั้งสองฝั่งอุปกรณ์ที่ต้องมีใน

ระบบประชุมทางไกลนี้ ก็ ได้แก่ จอโทรทัศน์หรือคอมพิวเตอร์, ลำโพง,ไมโครโฟน, กล้อง และอุปกรณ์ Codec

ซึ่งเป็นตัวเข้ารหัสสัญญาณภาพและเสียงที่ได้จากกล้องและไมโครโฟนส่ง ผ่านเส้นทางสื่อสารไปยังอีกฝั่งหนึ่ง

รวมถึงถอดรหัสสัญญาณที่ได้รับ มาอีกฝั่งให้กลับเป็นสัญญาณภาพและเสียงแสดงบนจอและลำโพงนั่นเองเส้น

ทาง สื่อสารขนาด 384 Kbps ขึ้นไปก็สามารถให้คุณภาพภาพในระดับที่ยอมรับได้ โดยอาจใช้ผ่านทางเครือข่าย

อินเทอร์เน็ต ISDN หรือ ATM เป็นต้น ข้อดีของการประชุมทางไกล คือสามารถให้ความสะดวกในการติดต่อสื่อ

สารกัน ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งจะประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้ จ่าย และยังช่วยแก้ปัญหาจราจร

ได้ทางหนึ่ง



Video on Demand

คือ ระบบการเรียกดูภาพยนตร์ตามสั่งที่จะอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานสามารถเลือก ดูภาพยนตร์

หรือข้อมูลภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงได้ตามต้องการตามสโลแกนว่า To view "What one wants. when one

wants." โดยสามารถใช้งานนี้ได้จากเครือ ข่ายสื่อสาร (Telecommunications Networks) ผู้ใช้งาน ซึ่งอยู่หน้า

เครื่องลูกข่าย(VideoClient)สามารถเรียกดูข้อมูลที่เป็นภาพ เคลื่อนไหว ได้ทุกเมื่อตามต้องการและสามารถ

ควบคุมข้อมูลวิดีโอนั้น ๆ โดยสามารถย้อนกลับ (Rewind) หรือกรอไปข้างหน้า (Forward) หรือหยุดชั่วคราวได้

เปรียบเสมือนการดูวิดีโอที่บ้านนั่นเอง ทั้งนี้ เครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่ายไม่จำเป็นต้องดูข้อมูลเดียวกันกล่าวคือ

สามารถดูภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน หรือต่างกันก็ได้

ส่วนประกอบหลักของ Video on Demand

ส่วนประกอบหลักและการทำงานของแต่ละส่วนในระบบ Video on Demand มี ดังต่อไปนี้

เครื่อง Video Server
ระบบ VOD จะทำการเก็บข้อมูลภาพเคลื่อนไหวเป็นแบบดิจิตัลบนเครื่อง video server

และ เครื่อง server นั้นจะส่งข้อมูลภาพเคลื่อนไหวไปให้เครื่องลูกข่าย (Video Client) ตามที่ขอมา

โดยคุณสมบัติของ video server ก็คืออัตราการเปลี่ยนแปลงของภาพต่อเนื่องจะต้องมากพอเพื่อที่จะสามารถ

ถ่าย ทอดข้อมูลภาพและเสียงอย่างครบสมบูรณ์ให้เกิดเป็นภาพเคลื่อนไหวต่อเนื่อง สำหรับผู้ใช้ซึ่งอยู่ที่เครื่อง

ลูกข่าย และมีระบบอินพุต/เอาต์พุตที่มี ประสิทธิภาพ เครื่อง video server จะต้องมีระบบฮาร์ดดิสก์ ซึ่งใช้เก็บ

ข้อมูลภาพยนตร์ หรือภาพเคลื่อนไหวต่าง ๆที่มีความเร็วมากพอที่จะทำการอ่านข้อมูล และส่งออกไปยังระบบ

เครือข่าย เพื่อส่งไปยังคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ต่อไปตามปกติ แล้วข้อมูลวิดีโอมักจะมีขนาดใหญ่

และต้องการความเร็วในการส่งข้อมูลมาก (1.5 Mbps สำหรับคุณภาพ MPEF-1 หรือระดับ Video VHS

และ 6-8 MBPS สำหรับคุณภาพ MPEG-2 หรือระดับเลเซอร์ดิสก์) ดังนั้นเครื่อง Video Server

จึง ต้องมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะรองรับและแจกจ่ายข้อมูลวิดีโอเหล่านี้ไป ยังลูกข่ายหรือไคลแอนต์ได้

เครื่อง Video Server จะมีที่เก็บข้อมูลเรียกว่า disk array ที่มีความจุและความเร็วสูง ทำหน้าที่

เป็น หน่วยเก็บภาพเคลื่อนไหว (Video)ซึ่งจะทำการจัดเก็บวิดีโอในตัวของมันในรูปแบบของบิตข้อมูลดิจิตัล

ข้อมูล ที่เก็บอยู่จะผ่านการบีบอัดข้อมูล (Data Compression) โดยเครื่องเข้ารหัส (Encoder)

นรูปแบบมาตรฐานของMPEG (Moving Picture Experts Group) ซึ่ง เป็นมาตรฐานที่พัฒนาเพื่อใช้กับการ

แพร่ภาพโทรทัศน์ในระบบดิจิตัล



3. เน้นเรื่องการศึกษาเป็นราย บุคคล การศึกษาเพื่อมวลชน และการศึกษาเพื่อคนด้อยโอกาส

ภายใต้ความรับผิดชอบของสำนักงานการศึกษา พิเศษ กระทรวงศึกษาธิการ สหรัฐอเมริกา ได้มีงานวิจัยหลาย

ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาพิเศษ งานวิจัยเหล่านั้นมุ่งไปที่การพัฒนาวิธีการเรียนการสอนที่จะช่วยให้คนพิการ

เอาชนะข้อจำกัดทางด้านร่างกายและข้อจำกัดที่เกี่ยวกับประสาทสัมผัส ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ของช่างไม้ที่

ช่วยให้คนตาบอกหรือคนที่ตามองเห็นเพียงบางส่วนสามารถ รู้ทางเดินได้โดยไม่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจาก

คนอื่น อุปกรณ์ดังกล่าวจะส่งสัญญาณเสียงที่มีลักษณะเสียงต่างๆ กัน สัญญาณแหล่านี้จะช่วยให้คนตาบอกรู้ทาง

เดินได้ สำนักงานการศึกษาพิเศษได้พัฒนาวิธีการและเครื่องมือใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือคนพิการให้สามารถ

เรียนรู้ข่าวสารและทักษะใหม่ๆ เพิ่มขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรได้รับความสนใจอย่างยิ่ง





ความรู้ที่ได้รับห้องเรียน

ได้ทราบถึงการใช้วิธีการในการสื่อสารทางไกลมากขึ้น


ได้เห็นของจริง

ได้รู้เรื่องประวัติความเป็นมาของ การนำVideo conference

ได้รับความรุ้จากวิทยากรที่บทยายในเรื่องของระบบ E-Learning

ได้เห็นการจัดรายการวิทยุออนไลน์ในมหาวิทยาลัยบุรพา

รุ้จักวิธีการใช้Video conference







link : สำนักคอมพิวเตอร์ Google Facebook มหาวิทยาลัยบูรพา

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กิจกรรมที่ 10 กฏหมายทางเทคโนโลยีการศึกษา


กิจกรรมที่ 10 กฏหมายทางเทคโนโลยีการศึกษา

(เรียนวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553 )

เนื้อหาที่ได้รับในห้องเรียน

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการศึกษา


- พรบ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2545)

- พรบ.การกระทาผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550

หมวด 3 ระบบการศึกษามาตรา 15-21



การศึกษาในระบบ

-การศึกษาขั้นพื้นฐาน

ไม่น้อยกว่า 12 ปี

ระดับและประเภทเป็นไปตามกฎหมายกำหนด

-การศึกษาระดับอุดมศึกษา

ระดับต่ากว่าปริญญา

ระดับปริญญา

-การศึกษาภาคบังคับ
9ปี
ย่างปีที่ 7 ถึงย่างปีที่ 16 ยกเว้นสอบได้ปีที่ 9
การนับอายุ เป็นไปตามกฎกระทรวง



หมวด 4 แนวการจัดการศึกษามาตรา 22-30

-ผู้เรียน

ทุกคนมีความสามารถ

พัฒนาตนเองได้

พัฒนาตนเองได้มีความสาคัญที่สุด




หมวด 5 การบริหารและการจัดการศึกษามาตรา 33-46

-การบริหารและการจัดการศึกษาของรัฐ

-การบริหารและการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

-การบริหารและการจัดการศึกษาเอกชน


หมวด 6 มาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา

มาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา

-ประกันคุณภาพภายใน เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหาร รายงานต่อต้นสังกัด เผยแพร่ต่อสาธารณชน

-ประกันคุณภาพภายนอก
โดยสานักงานรับรองและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ) อย่างน้อยหนึ่งครั้งทุก
ห้าปี



หมวด 9 เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา

-หน้าที่ของรัฐ

รัฐต้องจัดให้มีหน่วยงานกลางทาหน้าที่พิจารณาเสนอนโยบาย แผน ส่งเสริม และประสานการวิจัย การ

พัฒนา และการใช้ผู้เรียนมีสิทธิได้รับการพัฒนาขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีจัดสรรคลื่นความถี่ สื่อ

ตัวนาและโครงสร้างพื้นฐานที่จาเป็นต่อการส่งวิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนา

การผลิตและพัฒนา
เทคโนโลยีการศึกษา

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

-พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537

-พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2544

-พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทาความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550

การละเมิดลิขสิทธิ์

-ทำซ้าหรือดัดแปลง

-เผยแพร่ต่อสาธารณชน

-ให้เช่าต้นฉบับหรือสาเนางานดังกล่าว

ข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์

(1)วิจัยหรือศึกษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น

(2)ใช้เพื่อประโยชน์ของเจ้าของสาเนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น

(3)ติชมวิจารณ์หรือแนะนาผลงานโดยมีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น

(4)เสนอรายงานข่าวทางสื่อสารมวลชนโดยมีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้น

(5)ทาสาเนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในจานวนที่สมควรโดยบุคคลผู้ซึ่งได้ซื้อหรือได้รับโปรแกรมนั้นมาจากบุคคลอื่นโดยถูกต้องเพื่อเก็บไว้ใช้ประโยชน์ในการบารุงรักษาหรือป้องกันการสูญหาย

(6)ทาซ้าดัดแปลงนาออกแสดงหรือทาให้ปรากฏเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาของศาลหรือเจ้าพนักงานซึ่งมีอานาจตามกฎหมายหรือในการรายงานผลการพิจารณาดังกล่าว

(7)นาโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้นมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการถามและตอบในการสอบ

(8)ดัดแปลงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในกรณีที่จาเป็นแก่การใช้

(9)จัดทาสาเนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อเก็บรักษาไว้สาหรับการอ้างอิงหรือค้นคว้าเพื่อประโยชน์ของสาธารณชน


พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทาความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550


“เนื่องจากในปัจจุบันระบบคอมพิวเตอร์ได้เป็นส่วนสาคัญของการประกอบกิจการและการดารงชีวิตของ

มนุษย์หากมีผู้กระทาด้วยประการใดๆ ให้ระบบคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทางานตามคาสั่งที่กาหนดไว้หรือทาให้

การทางานผิดพลาดไปจากคาสั่งที่กาหนดไว้ หรือใช้วิธีการใดๆ เข้าล่วงรู้ข้อมูล แก้ไข หรือทาลายข้อมูลของ

บุคคลอื่นในระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบหรือใช้ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็น

เท็จหรือมีลักษณะอันลามกอนาจาร ย่อมก่อให้เกิดความเสียหาย กระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจ สังคม และ

ความมั่นคงของรัฐ รวมทั้งความสงบสุขและศีลธรรมอันดีของประชาชน สมควรกาหนดมาตรการเพื่อป้องกัน

และปราบปรามการกระทาดังกล่าว”

ข้อแนะนาสาหรับผู้ใช้บริการ

-อย่าบอก password ตนเองแก่บุคคลอื่น

-อย่านา user ID และ password ของบุคคลอื่นมาใช้งานหรือเผยแพร่

-อย่าส่ง (send) หรือส่งต่อ(forward) ภาพ ข้อความ หรือภาพเคลื่อนไหวที่ผิดกฎหมาย

-อย่าให้บุคคลอื่นที่ไม่รู้จักมายืมใช้เครื่องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์

-การติดตั้งระบบเครือข่ายไร้สายควรจะมีระบบป้องกันมิให้บุคคลอื่นแอบใช้งานโดยมิได้รับอนุญาต
ความรู้ที่ได้รับในห้องเรียน
1 มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการใช้เทคโนโลยีการศึกษาที่ถูกต้อง
2 ได้ทราบถึงกฏเกณฑ์การใช้และบทลงโทษเมื่อผู้ใช้ได้กระทำผิด
3 มีความรู้ในการรู้ทัน การใช้ เทคโนโลยี เพื่อที่จะสามารถป้องกันได้

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กิจกรรมที่ 9 การวิจัยเทคโนโลยีการศึกษา

กิจกรรมที่ 9 การวิจัยเทคโนโลยีการศึกษา






(เรียนวันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553 )


เนื้อหาที่ได้รับในห้องเรียน


นโยบายและแผนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 หมวด 9 เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ได้กาหนดบทบาท

หน้าที่ของรัฐเกี่ยวกับการจัดการด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา โดยกาหนดขอบเขตครอบคลุมไปถึงการจัดการ

โครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาบุคลากร การวิจัย การจัดตั้งกองทุนและหน่วยงานกลางเพื่อวางนโยบายและบริหาร

งานเกี่ยวกับ เทคโนโลยีการศึกษารัฐบาลได้ให้ความสาคัญในการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เป็นเครื่องมือ

ในการพัฒนาประเทศ โดยได้กาหนดกรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศระยะ พ.ศ. 2544-2553 ของประเทศ

ไทย ในการให้ประชาชนคนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้

ตลอดชีวิต

การวิจัยทางเทคโนโลยีการศึกษา


ต้องยึดถือในกรอบความเป็นเทคโนโลยีการศึกษา

-หลักการทางเทคโนโลยีการศึกษา

-ขอบข่ายเทคโนโลยีการศึกษา

-หลักการทางเทคโนโลยีการศึกษา

เป็นนักออกแบบและจัดการการเรียนรู้ ระหว่างคนสู่คน โดยใช้วิธีระบบ การออกแบบระบบการเรียน

และสภาพแวดล้อมทางการเรียนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด เป็นภารกิจหลักของนัก

เทคโนโลยีทางการศึกษา

- ขอบข่ายเทคโนโลยีการศึกษา





ทิศทางการวิจัยทางเทคโนโลยีการศึกษา

1. ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ทาให้เกิดความ ท้าทายจากวิทยาการที่เปลี่ยนไป

2. ต้องการพิสูจน์ทฤษฎีใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น

3. แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบการศึกษาสมัยใหม่


ลักษณะการวิจัยทางเทคโนโลยีการศึกษา

1. เป็นการวิจัยที่นาเอาวิธีการใหม่ ๆ มาจากแหล่งอื่นในสภาพการณ์ต่างที่ต่างกัน เพื่อมาทดลองในที่ใหม่ สภาพการณ์ใหม่

2. เป็นการวิจัยที่ดัดแปลง ขยายหรือเสริมแต่งความคิดและวิธีการเดิม
แล้วนามาทดลอง เพื่อดูว่าใช้ได้ผลในขณะนี้หรือไม่ เพียงใด?

3. เป็นการวิจัยที่จะฟื้นฟูสิ่งที่เคยทาไว้ก่อนแล้วแต่ไม่ได้นามาใช้ประโยชน์

4. เป็นการวิจัยที่มีสภาพการณ์ใหม่ ซึ่งในอดีตไม่ปัจจัยต่าง ๆ ไม่เอื้ออานวย

5. เป็นการวิจัยในสิ่งที่ได้คิดค้นขึ้นมาใหม่


ผลการศึกษาประเด็นของการวิจัยทางเทคโนโลยีการศึกษาในปัจจุบัน


ผลจากการปฏิรูปการศึกษาในอดีตทาให้ในปัจจุบันประเทศไทยกาลังอยู่ในระยะรับผลของการปฏิรูปการ

ศึกษา มีประเด็นปัญหาที่เกี่ยวกับโครงสร้างการบริหารและการจัดการทางการศึกษา การจัดตั้งองค์กรและหน่วย

งานที่เกี่ยวข้องและตามข้อบังคับของกฎหมาย การเรียน การสอน การสนับสนุนด้านงบประมาณ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ

การใช้อานาจ การใช้งบประมาณ และความก้าวหน้าทางวิชาชีพของบุคลากรการศึกษา

ความรู้ที่ได้รับในห้องเรียน

1. ได้ทราบถึงการวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการศึกษามากขึ้น

2. ได้เห็นข้อมูลการวิจัยทางเทคโนโลยีการศึกษาจริง

3. ได้รู้วิธีการในการสืบค้นข้อมูล ในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสืบค้นข้อมูลทางการวิจัย หรือ หนังสือต่างๆที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น

Link : Google Hi5 Facebook Buu

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กิจกรรมที่ 8 นวัตกรรมการศึกษา

กิจกรรมที่ 8 นวัตกรรมการศึกษา


เนื้อหาในบทเรียน (เรียนวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553)


ความหมายของนวัตกรรม

นวัตกรรมการศึกษา


นวัตกรรม (Innovation) หมายถึง การนำสิ่งใหม่ ๆ อาจเป็นแนวความคิด หรือ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อนหรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงจากของเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทันสมัยและได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม ทั้งยังช่วยประหยัดเวลาและแรงงานได้ด้ว


นวัตกรรมทางการศึกษา (Educational Innovation)


หมายถึง การนำเอาสิ่งใหม่ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของความคิดหรือการกระทำรวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ก็ตามเข้ามาใช้ในระบบการศึกษาเพื่อมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิมให้ระบบการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นทำให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเกิดแรงจูงใจในการเรียนและช่วยให้ประหยัดเวลาในการเรียน เช่น การสอนใช้คอมพิวเตอร์ช่วย การใช้วีดิทัศน์เชิงโต้ตอบ(Interactive Video) สื่อหลายมิติ (Hypermedia) และอินเตอร์เน็ต เหล่านี้เป็นต้



นวัตกรรม แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 มีการประดิษฐ์คิดค้น (Innovation) หรือเป็นการปรุงแต่งของเก่าให้เหมาะสมกับกาลสมัย
ระยะที่ 2 พัฒนาการ (Development) มีการทดลองในแหล่งทดลองจัดทำอยู่ในลักษณะของโครงการทดลองปฏิบัติก่อน (Pilot Project)
ระยะที่ 3 การนำเอาไปปฏิบัติในสถานการณ์ทั่วไป ซึ่งจัดว่าเป็นนวัตกรรมขั้นสมบูรณ์



หลักเกณฑ์ประกอบการพิจารณาว่าสิ่งใดคือ นวัตกรรม
1.
เป็นสิ่งใหม่ทั้งหมดหรือบางส่วน
2.
มีการนำวิธีการจัดระบบ (System Approach) มาใช้พิจารณาองค์ประกอบทั้งส่วน ข้อมูลที่ใช้เข้าไปในกระบวนการและผลลัพธ์ให้เหมาะสมก่อที่จะทำการเปลี่ยนแปลง
3.
มีการพิสูจน์ด้วยการวิจัยหรืออยู่ระหว่างการวิจัยว่าจะช่วยให้ดำเนินงานบางอย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
4.
ยังไม่เป็นส่วนหนึ่งในระบบงานปัจจุบัน


ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลอันมีผลทำให้เกิดนวัตกรรม


1. แนวความคิดพื้นฐานในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different) นวัตกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อสนองแนวความคิดพื้นฐานนี้ เช่น
-
การเรียนแบบไม่แบ่งชั้น (Non-Graded School)
-
แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book)
-
เครื่องสอน (Teaching Machine)
-
การสอนเป็นคณะ (TeamTeaching)
-
การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School)
-
เครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction)


2. แนวความคิดพื้นฐานในเรื่องความพร้อม (Readiness) นวัตกรรมที่สนองแนว ความคิดพื้นฐานด้านนี้ เช่น
-
ศูนย์การเรียน (Learning Center)
-
การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School)
-
การปรับปรุงการสอนสามชั้น (Instructional Development in 3 Phases)


3. แนวความคิดพื้นฐานในเรื่องการใช้เวลาเพื่อการศึกษา นวัตกรรมที่สนองแนวความคิด เช่น
-
การจัดตารางสอนแบบยืดหยุ่น (Flexible Scheduling)
-
มหาวิทยาลัยเปิด (Open University)
-
แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book)
-
การเรียนทางไปรษณีย์


4. แนวความคิดพื้นฐานในเรื่องการขยายตัวทางวิชาการและอัตราการเพิ่มประชากรนวัตกรรมในด้านนี้ที่เกิดขึ้น เช่น
-
มหาวิทยาลัยเปิด
-
การเรียนทางวิทยุ การเรียนทางโทรทัศน์
-
การเรียนทางไปรษณีย์ แบบเรียนสำเร็จรูป
-
ชุดการเรียน



วิธีการเรียนการสอนในห้องเรียน


- มีการอ่านเนื้อหาก่อนเรียน

-มีการทำแบบฝึกหัดและการตอบคำถามโดยใช้ โปรแกรม Power Point

-มีการอธิบายการใช้โปรแกรมในการทำวีดีทัศน์


ความรู้ที่ได้รับในห้องเรียน

-ได้เรีียนรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมมากยิ่งขึ้น - สามารถแบ่งแยกและจำแนกนวัตกรรมได้

-ได้รับความรู้และวิทยาการใหม่ในการศึกษามากยิ่งขึ้น -สามารถนำไปใช้ได้จริง





วันนี้ได้รับความรู้มกมายเลยทั้งในเรื่องของการทำสื่อการเรียนรู้ ในรูปแบบของ Power Point และสื่อวีดีทัศน์หลังจากนี้จะเป็นการสอบกลางภาคแล้ว ซิ......ว้าววอย่างงี้ต้องอ่านมากๆแล้วจะได้ทำข้อสอบๆได้ส่วนกิจกรรมต่อไปนั้นเดี๋ยวเพื่อนๆ รอก่อนนะ สอบเสดก่อน เด๋วมาเล่าสู่กันฟังนะจ๊ะ....++




Link: Google Hi5 Buu. Blogger

วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กิจกรรมที่ 7 จิตวิทยาที่ เกี่ยวข้องกับการสร้างสื่อ


กิจกรรมที่ 7 จิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสื่อ




กิจกรรมให้ห้องเรียน วันนี้เรียนเรื่อง จิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสื่อ

เนื้อหาที่ได้รับให้ห้องเรียน

พื้นฐานทางจิตวิทยา
1 การเรีัยนรู้ตามทัศนะกลุ่มปัญญา (Cognitivist Perspective)
เชื่อกันว่ามนุษย์เรียนรู้จากประสบการณ์ ปละประสบการณ์ต่างๆ เกิดจาก การที่มนุษย์ได้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อม จุดเริ่มต้นของการเรียนรู้จะอยู่ที่การรู้จักจำแนกสิ่งต่างๆ ที่ไม่เหมือนกันแยกออกจากกัน รู้จักจำแนกจะนำไปสู่การพัฒนาแนวคิดในเรื่องนั้นๆ การนำแนวคิดมาบูรณาการเข้าด้วยกัน เกิดการเรียรรู้เป็นหลักการและทฤษฎีต่างๆ
2 การรู้ตามทัศนตามกลุ่มพัฒนานิยม(Behaviorist Perspective)(มีองค์ประกอบ 4 ประการณ์) คือ
2.1 แรงขับ หมายถึง ความต้องการของผู้เรียนซึ่งจะจุงใจให้ผุ้เรียนหาทางสนองคำตอบต่อความต้องการของตนเอง
2.2 สิ่งเร้า สิ่งเร้าอาจเป็นความรู้ทางการชี้แนะจากครูหรือแหล่งการเรียน(สื่อ)จะกระตุ้นให้ผู้เรียนตอบสนอง
2.3 การตอบสนอง เป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่สังเกตุได้จากพฤติกรรมของผู้เรีียนที่แสดงออกมา
2.4 การเสริมแรง เป็นการให้รางวัลเมื่อผู้เรียนตอบสนองได้ถูกต้อง
3. การเรียนรู้ตามทัศนะกลุ่มสร้างสรรค์ความรู้ ( Constructivist Perspective )
การเรียนรู้เกิดจากการสร้างสรรค์ของผู้เรียน ด้วยการนำความรู้เดิม (ประสบการณ์) มาวิเคราะห์ และสังเคราะห์อย่างมีเหตุผล แล้วประมวลเป็นความรู้ใหม่เพื่อนำไปพัฒนาหรือแก้ปัญหาต่อไป ทั้งนี้ผู้เรียนจะเป็นผู้สร้างสรรค์ด้วยการแปลความหมาย (Interptretation) ข้อมูลและสารสนเทศที่มีอยู่รอบๆ ตัวด้วยตนเอ
ที่มา : http://cyberclass.msu.ac.th/cyberclass/cyberclass-
uploads/libs/html/38422/Unit_1/Unit1_05.htm


หลักการใช้สีในการออกแบบสื่อ






ความหมายและความรู้สึกต่อสีความหมายและความรู้สึกต่อสีแต่ละสีนั้นมีความแตกต่างกันไปในแต่ละสี ดังนี้

1. สีร้อน หรือสีอบอุ่น (warm color) ได้แก่สีเหลือง สีชมพู แดง ส้ม ม่วงน้ำตาล ให้ความหมาย
และความรู้สึกก้าวร้าว รื่นเริง สดชื่น ฉูดฉาด จึงมีอิทธิพลต่อการดึงดูดและสร้างความน่าสนใจให้กับ
สื่อสิ่งพิมพ์ได้ดีกว่าสีโทนอื่น มีการนำสีร้อนมาใช้ในการออกแบบงานชื่อหนังสือ นิตยสาร แคตตาล๊อก
โปสเตอร์ เป็นต้น

2. สีเย็น (cool color) เริ่มจากสีเทา ฟ้าน้ำเงิน เขียว ให้
ความหมายและความรู้สึกสงบ เย็น
สะอาด

3. สีขาว (white) สีแห่งความขาว สะอาดให้ความหมายและความรู้สึกบริสุทธ์ิ ไร้เดียงสา

4. สีดำ (black) สัญลักษณ์แห่งความโศกเศร้า หดหู่ และความตาย บางกรณีใช้แทนความชั่วร้าย
ในความหมายของชาวยุโรป อเมริกาแทนความเป็นผู้ดี ขรึม มั่นคง นอกจากนั้น ยังใช้ในความหมายของ
ความอมตะ และเป็นนิรันดร์ อีกด้วย

5. สีแดง (red) คือ สีแห่งความกระตือรือร้นเร่าร้อน สะเทือนอารมณ์ มีพลัง ให้ความสว่างโชติช่วง
เป็นสีแห่งความรัก ดึงดูดความสนใจ หากเป็นสีชมพูหลักการใช้สีในการออกแบบสื่อ
คลลังังขข้อ้อมมูลูลซึ่งความเข้มของสีแดงจะลดลง จะให้ความรู้สึกที่อ่อนหวาน สีแดงอาจใช้สื่อความหมายในสัญลักษณ์แสดงถึงความมีอันตราย ความร้อน

6. สีเหลือง (yellow) คือ สีแห่งความสุขสดชื่น ร่าเริงมีชีวิตชีวา เป็นสีที่อยู่ในโทนที่เข้ากันได้กับทุกสี มีการนำมราใช้ในความหมายของสัญลักษณ์แห่งความหวัง หรือความระมัดระวัง เป็นต้น

7. สีเขียว (green) คือ สีของต้นไม้ใบหญ้าให้ความรู้สึกสดชื่น งอกงามเป็นสัญลักษณ์ของความ
สงบ เรียบง่าย และความอุดมสมบูรณ์

8. สีฟ้า (blue) คือ สีแห่งท้องฟ้าและน้ำทะเล เป็นสัญลักษณ์ของความสงบ เยือกเย็น มั่งคั่ง
แต่เต็มไปด้วยพลัง หากเป็นสีฟ้าอ่อนจะให้ความรู้สึกสดชื่น สวยงาม กระฉับกระเฉง เป็นหนุ่มสาว

9. สีม่วง (purple) คือ สีแห่งความลึกลับมีเลศนัย ซ่อนเร้น เป็นสีที่มีอิทธิพลต่อจินตนาการ
และความอยากรู้อยากเห็นของเด็ก เช่น เทพนิยายต่างๆ มีการนำมาใช้ในความหมายของความสูงศักด์ิ

10. สีน้ำตาล (brown) เป็นสีแทนสัญลักษณ์ของความร่วงโรย เปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีใบร่วงหล่น
เมื่อถึงอายุขัย เป็นสีที่ให้ความหมายดูเหมือนธรรมชาติเช่น สีน้ำตาลอ่อนและแก่ของลายไม้เป็นต้น นอกจากนั้นยังใช้ในความหมายของความถ่อมตน เก่าแก่

11. สีแจ๊ด (vivid colors) คือ สีที่สะดุดตาเร็วมองเห็นได้ไกล โทนของสีตัดกันแบบตรงข้าม เช่น
แดงกับดำ เหลืองกับน้ำเงิน เขียวกับแดง ดำกับเหลืองเป็นต้น สิ่งเหล่านี้นิยมใช้กันมากในการออกแบบผลิต
ภัณฑ์ เช่น ของเด็กเล่น ภัตตาคาร ร้านอาหารประเภทฟาสต์ฟู๊ด คาเฟ่

สรุป
ดังนั้นการออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์ที่ดีมีความสอดคล้องเหมาะสมกับวัตถุประสงค์การผลิตสื่อ
พิมพ์จะทำให้ผลงานสื่อสิ่งพิมพ์บรรลุวัตถุประสงค์เสริมคุณค่าให้กับสื่อสิ่งพิมพ์นั้นๆ เป็นอย่างดี
งานการออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์แต่ละชิ้นไม่มีสูตรสำเร็จ แต่เป็นงานที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์และ
จินตนาการเฉพาะตัวของนักออกแบบเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการและวัตถุประสงค์ให้ได้มากที่สุด โดยอาจอาศัยหลักการออกแบบที่ต่างๆเช่น องค์ประกอบมูลฐานทางศิลปะ และทฤษฎีสี
มาประกอบขึ้นเป็นความสวยงามที่สามารถสื่อสารความหมายที่ต้องการได้อย่างสมบูรณ์


คลังข้อมูล สพท. เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเทคโนโลยี วิชาการด้านส่งเสริมและสื่อสารการเกษตร รวมทั้ง ข้อมูลอื่นๆเพื่อเพิ่มพูนความรู้แก่เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรและผู้สนใจ
จัดทำโดย กลุ่มพัฒนาเทคโนโลยีการเผยแพร่ สำนักพัฒนาการถ่ายทอดเทคโนโลยี กรมส่งเสริมการเกษตร
โทร. 02-5793852 E-mail : agritech51@doae.go.th


ความรู้ที่ได้รับในห้องเรียน
  • ได้รู้เกี่ยวกับวิธีการเรียนให้เป็นประโยชน์
  • สามารถนำไปใช้ได้จริง
  • รู้จักความรู้สึกต่างๆ ผ่านสี
  • มีการนำสื่อต่างๆมาใช้ในการเรียนการสอน
  • มีการแสดงการทำวีดีทัศน์
  • ได้รู้จักการฝึกการใช้โปรแกรมต่างๆ ในห้องเรียน